วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2558

พระพุทธยอดฟ้ามหาราช (ตอนที่ ๑๑)



                พระพุทธยอดฟ้ามหาราชพระองค์นี้นอกจากเป็นกษัตริย์ชาตินักรัก นักรบแล้ว  ยังทรงเป็นนักวีเอกด้วย นิราศท่าดินแดงนั้นคือพระราชนิพนธ์ที่แสดงว่าทรงเป็นนักกวี  เมื่อเสด็จไปรบพม่าที่ท่าดินแดง ได้ทรงพระราชนิพนธ์เพลงยาวท่าดินแดงขึ้น ใช้พระนามว่า  เจ้าฟ้าจืด เราก็เข้าใจกันว่า เจ้าฟ้าจืดคร้ังกรุงศรีอยุธยา  แต่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงค้นพบว่าที่แท้เป็นพระราชนิพนธ์ของพระพุทธยอดฟ้ามหาราช  แต่ทรงปกปิดพระนามเนื่องจากเป็นเพลงยาวสังวาส  เป็นประเพณีที่ถือกันว่าไม่ควรแต่งเพลงยาวนิราศ  จึงต้องปกปิดพระนาม  
     ต่อมากรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ พระราชโอรส ซึ่งเป็นพระมหาอุปราชในรัชกาลที่ ๒ และเป็นพระบัณฑูรน้อยในรัชกาลที่ ๑ ทรงพระราชนิพนธ์ นิราศแม่น้ำน้อย ก็ทรงปกปิดพระนาม ใช้พระนามแฝงว่า "ศิษย์ศรีปราชญ์"  เมื่อทรงพระราชนิพนธ์นิราศนรินทร์ ก็ทรงใช้พระนามแฝงว่า "นรินทร์อิน"  ซึ่งเป็นนายมหาดเล็กที่ตามเสด็จในครั้งน้ัน  เมื่อพระปิยมหาราชทรงพระราชนิพนธ์เรื่องนิราศกาญจนบุรี  ในพ.ศ. ๒๔๑๖ ก็ทรงใช้พระนามว่า "ท้าวสุภัตติการภักดี(นาค)"  ดังนี้เป็นต้น 
     นอกจากพระพุทธยอดฟ้ามหาราชจะเป็นนักกวีแล้ว  ยังทรงเป็นนักการทูตชั้นยอดด้วย   ดังจะเห็นได้จากเรื่องที่ทรงฝากดาบฝากแหวนไปถวายพระเจ้าตากสินมหาราชครั้งกระโน้น  เพื่อฝากกายถวายชีวิตไว้  นี่คือหลักการทูตนั้นเอง    จะขอยกตัวอย่างอีกเรื่องหนี่ง คือ ในรัชกาลพระเจ้าตากสินมหาราชนั้นทรงแต่งตั้งให้พระพุทธยอดฟ้าไปปราบเวียงจันทร์  คราวที่ไปอัญเชิญพระแก้วมรกตกลับคืนมาเป็นของไทยนั่นแหละ คราวนั้น  ท้าวคำผง (ท้าวกุ)  หัวหน้าชาวเวียงจันทร์ได้อาสารบ  เรียกว่า เป็นสหายศึกของพระพุทธยอดฟ้า เมื่อพระพุทธยอดฟ้าได้ปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์แล้ว  ทรงแต่งตั้งให้ท้าวคำผง( ท้าวกุ)  เป็นเจ้าในราชวงศ์ พระราชทานนามว่า พระปทุมวรราชสุริยวงษ์   และตั้งเมืองอุบลขึ้นเป็นเมืองของสหายศึก  พระราชทานนามเมืองอุบลว่า  "เมืองอุบลราชธานีศรีวนาไลยประเทศราช"  ซึ่งมีเมืองเดียวในประเทศไทยที่มีนามว่า "ราชธานี"  เป็นราชธานีของใครล่ะ  ก็คือ ราชธานีของพระปทุมวรราชสุริยวงษ์นั่นเอง  ซึ่งเป็นกุศโลบายทางการทูตชั้นเยี่ยมที่มีเมืองราชธานีอยู่ในภาคอีสาน  คอยรับศึกด้านเขมร ลาว   อย่างนี้แล้วชาวอีสานจะไม่จงรักภักดีได้อย่างไร 
     เรื่องอย่างนี้ แม้กรมพระราชวังบวรมหาสุริสิงหนาทก็ทรงเป็นเช่นน้ันด้วย  คือ จีนเรือง พระสหายชาวชลบุรีนั้น  เมื่อได้ทรงเป็นพระมหาอุปราชก็ทรงขอให้พระพุทธยอดฟ้าแต่งตั้งจีนเรืองเป็นเจ้าต่างกรมมีพระนามว่า กรมขุนสุนทรภูเบศร์ (เรือง)  พระราชทานวังให้ที่ท่าพระ คือที่เป็นกรมศิลปากรทุกวันนี้ เรียกกันว่า วังท่าพระนั่นแหละ  เชื้อสาย ของกรมขุนสุนทรภูเบศร์ (เรือง)  ผู้นี้ พระมหาธีรราชเจ้าทรงพระราชทานนามสกุลให้ว่า  "สุนทรกุล ณ ชลบุรี"   ปัจจุบันนี้ทราบว่า เป็นผู้พิพากษาอยู่คนหนึ่ง  

     หลักการของนักการทูตนี้พระราชวงศ์จักรีทรงใช้มาโดยตลอด  ที่ประเทศไทยรอดปากเหยี่ยวปากกามาได้จนทุกวันนี้  ในขณะที่ประเทศใหญ่ๆต้องตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งจนหมดสิ้นนั้น  คือเรื่องของนักการทูตชั้นยอดของพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีนี้เอง    ครั้งรัชกาลที่ ๔ นั้นพวกบุนนาคครองเมือง  คนทั้งหลายหวาดหวั่นกันว่าพวกตระกูลบุนนาคจะผลัดแผ่นดินขึ้นครองเมือง  เจ้านายทั้งหลายบางคนไม่กล้าออกจากวัง  แต่พระจอมเกล้าฯ ก็ทรงเป็นนักการทูตชั้นยอด  ได้ทรงปฎิบัติในสิ่งที่พระเจ้าเแผ่นดินแต่โบราณกาลมาไม่เคยปฎิบัติเลย  คือทรงส่งเถ้าแก่ผู้ใหญ่ไปสู่ขอคุณแพ หลานสาวของเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์(ช่วง บุนนาค)  มาเป็นสะใภ้หลวง  ทรงจัดการส่งขันหมากไปสู่ขอให้เป็นเกียรติยศหน้าตาแก่เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์(ช่วง บุนนาค)  แล้วให้ตบแต่งอยู่กินเป็นพระสนมเอกของพระราชโอรสที่จะสืบสันตติวงศ์ต่อไป คือ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานาถ 
      พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อทรงทราบพระองค์ว่าจะสวรรคตแล้ว  ก็ทรงเรียกเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค)  บิดาของเจ้าคุณแพเข้ามาเฝ้า  ทรงมอบพระแสงดาบให้ ทรงมอบเงินให้หลายพันชั่ง ทรงฝากฝังพระราชโอรสว่า "ข้าเป็นคนลูกมากรากดก  เมื่อสิ้นบุญข้าแล้ว  อย่าให้ลูกข้าครองสมบัติเลย  ขอให้เจ้านายขุนนางประชุมเลือกเจ้านายองค์ใด ที่สมควรให้ขึ้นครองราชสมบัติเถิด  ลูกข้าอย่าให้เป็นเลย   ขอแต่เพียงว่าถ้ามีความผิดร้ายแรงอย่างไร ก็อย่าฆ่าเสียเลย เพียงแต่เนรเทศไปเสียเท่านั้น"   นี่แหละคือนักการทูตชั้นยอดที่สืบสายพระโลหิตมา อันไม่มีตำรับตำราเรียนกันเลยในมหาวิทยาลัย  แต่เกิดขึ้นเองในพระอุปนิสัยที่ฝังอยู่ในสายพระโลหิตนั่นเอง  

     พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕  ก็ทรงส่งพระราชโอรสไปเรียนที่ประเทศรัสเซีย ประเทศอังกฤษ และประเทศเยอรมนี พระมหาธีรราชเจ้านั้นเมื่อเกิดสงครามโลกขึ้น  ก็ทรงประกาศสงครามเข้าทางฝ่ายพันธมิตร ทรงส่งทหารไทยไปร่วมรบในยุโรปด้วย  แล้วก็ได้ผลดีในเวลาต่อมา ในการแก้สนธิสัญญาสิทธิภาพนอกราชอาณาจักรกับฝรั่งเศส   พระมหากษัตริย์ไทยที่สืบสายพระโลหิตมาจากพระพุทธยอดฟ้าฯทุกพระองค์ ล้วนแต่เป็นนักกวี นักการทูต ตลอดมาทุกพระองค์ 
(โปรดติดตามตอนต่อไป)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น