พระพุทธยอดฟ้ามหาราชพระองค์นี้นอกจากเป็นกษัตริย์ชาตินักรัก นักรบแล้ว ยังทรงเป็นนักวีเอกด้วย นิราศท่าดินแดงนั้นคือพระราชนิพนธ์ที่แสดงว่าทรงเป็นนักกวี เมื่อเสด็จไปรบพม่าที่ท่าดินแดง ได้ทรงพระราชนิพนธ์เพลงยาวท่าดินแดงขึ้น ใช้พระนามว่า เจ้าฟ้าจืด เราก็เข้าใจกันว่า เจ้าฟ้าจืดคร้ังกรุงศรีอยุธยา แต่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงค้นพบว่าที่แท้เป็นพระราชนิพนธ์ของพระพุทธยอดฟ้ามหาราช แต่ทรงปกปิดพระนามเนื่องจากเป็นเพลงยาวสังวาส เป็นประเพณีที่ถือกันว่าไม่ควรแต่งเพลงยาวนิราศ จึงต้องปกปิดพระนาม
ต่อมากรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ พระราชโอรส ซึ่งเป็นพระมหาอุปราชในรัชกาลที่ ๒ และเป็นพระบัณฑูรน้อยในรัชกาลที่ ๑ ทรงพระราชนิพนธ์ นิราศแม่น้ำน้อย ก็ทรงปกปิดพระนาม ใช้พระนามแฝงว่า "ศิษย์ศรีปราชญ์" เมื่อทรงพระราชนิพนธ์นิราศนรินทร์ ก็ทรงใช้พระนามแฝงว่า "นรินทร์อิน" ซึ่งเป็นนายมหาดเล็กที่ตามเสด็จในครั้งน้ัน เมื่อพระปิยมหาราชทรงพระราชนิพนธ์เรื่องนิราศกาญจนบุรี ในพ.ศ. ๒๔๑๖ ก็ทรงใช้พระนามว่า "ท้าวสุภัตติการภักดี(นาค)" ดังนี้เป็นต้น
นอกจากพระพุทธยอดฟ้ามหาราชจะเป็นนักกวีแล้ว ยังทรงเป็นนักการทูตชั้นยอดด้วย ดังจะเห็นได้จากเรื่องที่ทรงฝากดาบฝากแหวนไปถวายพระเจ้าตากสินมหาราชครั้งกระโน้น เพื่อฝากกายถวายชีวิตไว้ นี่คือหลักการทูตนั้นเอง จะขอยกตัวอย่างอีกเรื่องหนี่ง คือ ในรัชกาลพระเจ้าตากสินมหาราชนั้นทรงแต่งตั้งให้พระพุทธยอดฟ้าไปปราบเวียงจันทร์ คราวที่ไปอัญเชิญพระแก้วมรกตกลับคืนมาเป็นของไทยนั่นแหละ คราวนั้น ท้าวคำผง (ท้าวกุ) หัวหน้าชาวเวียงจันทร์ได้อาสารบ เรียกว่า เป็นสหายศึกของพระพุทธยอดฟ้า เมื่อพระพุทธยอดฟ้าได้ปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์แล้ว ทรงแต่งตั้งให้ท้าวคำผง( ท้าวกุ) เป็นเจ้าในราชวงศ์ พระราชทานนามว่า พระปทุมวรราชสุริยวงษ์ และตั้งเมืองอุบลขึ้นเป็นเมืองของสหายศึก พระราชทานนามเมืองอุบลว่า "เมืองอุบลราชธานีศรีวนาไลยประเทศราช" ซึ่งมีเมืองเดียวในประเทศไทยที่มีนามว่า "ราชธานี" เป็นราชธานีของใครล่ะ ก็คือ ราชธานีของพระปทุมวรราชสุริยวงษ์นั่นเอง ซึ่งเป็นกุศโลบายทางการทูตชั้นเยี่ยมที่มีเมืองราชธานีอยู่ในภาคอีสาน คอยรับศึกด้านเขมร ลาว อย่างนี้แล้วชาวอีสานจะไม่จงรักภักดีได้อย่างไร
เรื่องอย่างนี้ แม้กรมพระราชวังบวรมหาสุริสิงหนาทก็ทรงเป็นเช่นน้ันด้วย คือ จีนเรือง พระสหายชาวชลบุรีนั้น เมื่อได้ทรงเป็นพระมหาอุปราชก็ทรงขอให้พระพุทธยอดฟ้าแต่งตั้งจีนเรืองเป็นเจ้าต่างกรมมีพระนามว่า กรมขุนสุนทรภูเบศร์ (เรือง) พระราชทานวังให้ที่ท่าพระ คือที่เป็นกรมศิลปากรทุกวันนี้ เรียกกันว่า วังท่าพระนั่นแหละ เชื้อสาย ของกรมขุนสุนทรภูเบศร์ (เรือง) ผู้นี้ พระมหาธีรราชเจ้าทรงพระราชทานนามสกุลให้ว่า "สุนทรกุล ณ ชลบุรี" ปัจจุบันนี้ทราบว่า เป็นผู้พิพากษาอยู่คนหนึ่ง
หลักการของนักการทูตนี้พระราชวงศ์จักรีทรงใช้มาโดยตลอด ที่ประเทศไทยรอดปากเหยี่ยวปากกามาได้จนทุกวันนี้ ในขณะที่ประเทศใหญ่ๆต้องตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งจนหมดสิ้นนั้น คือเรื่องของนักการทูตชั้นยอดของพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีนี้เอง ครั้งรัชกาลที่ ๔ นั้นพวกบุนนาคครองเมือง คนทั้งหลายหวาดหวั่นกันว่าพวกตระกูลบุนนาคจะผลัดแผ่นดินขึ้นครองเมือง เจ้านายทั้งหลายบางคนไม่กล้าออกจากวัง แต่พระจอมเกล้าฯ ก็ทรงเป็นนักการทูตชั้นยอด ได้ทรงปฎิบัติในสิ่งที่พระเจ้าเแผ่นดินแต่โบราณกาลมาไม่เคยปฎิบัติเลย คือทรงส่งเถ้าแก่ผู้ใหญ่ไปสู่ขอคุณแพ หลานสาวของเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์(ช่วง บุนนาค) มาเป็นสะใภ้หลวง ทรงจัดการส่งขันหมากไปสู่ขอให้เป็นเกียรติยศหน้าตาแก่เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์(ช่วง บุนนาค) แล้วให้ตบแต่งอยู่กินเป็นพระสนมเอกของพระราชโอรสที่จะสืบสันตติวงศ์ต่อไป คือ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานาถ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อทรงทราบพระองค์ว่าจะสวรรคตแล้ว ก็ทรงเรียกเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) บิดาของเจ้าคุณแพเข้ามาเฝ้า ทรงมอบพระแสงดาบให้ ทรงมอบเงินให้หลายพันชั่ง ทรงฝากฝังพระราชโอรสว่า "ข้าเป็นคนลูกมากรากดก เมื่อสิ้นบุญข้าแล้ว อย่าให้ลูกข้าครองสมบัติเลย ขอให้เจ้านายขุนนางประชุมเลือกเจ้านายองค์ใด ที่สมควรให้ขึ้นครองราชสมบัติเถิด ลูกข้าอย่าให้เป็นเลย ขอแต่เพียงว่าถ้ามีความผิดร้ายแรงอย่างไร ก็อย่าฆ่าเสียเลย เพียงแต่เนรเทศไปเสียเท่านั้น" นี่แหละคือนักการทูตชั้นยอดที่สืบสายพระโลหิตมา อันไม่มีตำรับตำราเรียนกันเลยในมหาวิทยาลัย แต่เกิดขึ้นเองในพระอุปนิสัยที่ฝังอยู่ในสายพระโลหิตนั่นเอง
พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ก็ทรงส่งพระราชโอรสไปเรียนที่ประเทศรัสเซีย ประเทศอังกฤษ และประเทศเยอรมนี พระมหาธีรราชเจ้านั้นเมื่อเกิดสงครามโลกขึ้น ก็ทรงประกาศสงครามเข้าทางฝ่ายพันธมิตร ทรงส่งทหารไทยไปร่วมรบในยุโรปด้วย แล้วก็ได้ผลดีในเวลาต่อมา ในการแก้สนธิสัญญาสิทธิภาพนอกราชอาณาจักรกับฝรั่งเศส พระมหากษัตริย์ไทยที่สืบสายพระโลหิตมาจากพระพุทธยอดฟ้าฯทุกพระองค์ ล้วนแต่เป็นนักกวี นักการทูต ตลอดมาทุกพระองค์
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น