วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2558

พระพุทธยอดฟ้ามหาราช (ตอนที่ ๔)




     เมื่อกรุงเก่าแตกนั้น ข้าราชการส่วนใหญ่ก็ถูกกวาดต้อนไปเมืองพม่ามากกว่ามาก  ส่วนหนึ่งก็หนีเข้าป่าไป บ้างก็หนีไปเข้าก๊กเจ้าพระยาพิษณุโลก(เรือง)  เช่น หลวงพินิจอักษร (ทองดี)  กับบุตรชายคนเล็ก ซึ่งเจ้าพระยาพิษณุโลกได้ตั้งให้เป็นพระยาจักรีอยู่ในก๊กพระยาพิษณุโลก  และถึงแก่กรรมอยู่ในเมืองนั้น บุตรชายชื่อ  ลา  จึงได้นำกระดูกมาถวายพระพุทธยอดฟ้าในภายหลัง  บางคนก็หนีไปเข้าอยู่กับก๊กเจ้าตากที่เมืองจันทบุรี  เช่น หลวงสิทธินายเวร(หมุด)  ซึ่งภายหลังได้เป็นเจ้าพระยาจักรี (หมด สมุทรานนท์)  ท่านผู้นี้เป็นแขกอาหรับ



     ส่วนนายสุดจินดา(บุญมา)  นั้นได้ลงเรือโกลนพายเล็ดลอดหนีออกจากกรุงศรีอยุธยา มุ่งหน้าไปอยู่กับหลวงอร่ามเรืองฤทธิ์ (ทองด้วง)  ผู้พี่ที่เมืองสมุทรสงคราม พร้อมด้วยเพื่อนร่วมตายอีกสองคน  กลางคืนจึงพายเรือมาตามริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา กลางวันก็เข้าแอบพักอยู่ตามพุ่มไม้ชายฝั่งเรื่อยมาก เมื่อผ่านค่ายพม่าที่ตั้งกองรักษาลำน้ำอยู่  ทหารในค่ายพม่าตีฆ้องให้หยุด นายสุดจินดา(บุญมา)  ก็ทำใจดีสู้เสือ เอาฆ้องกระแต สมบัติของปู่ที่ติดตัวมาตึขึ้นรับ  ทำนองว่าเป็นทหารพม่าออกตรวจลำน้ำ  ก็รอดมาได้โดยตลอด คร้้นถึงป้อมวิไชยประสิทธิ์ แลเห็นทหารพม่าแจวเรือสวนขึ้นมา  จึงแวะขึ้นพักที่วัดสลัก (คือวัดมหาธาตุ ทุกวันนี้ ซึ่งท่านได้สร้างขึ้นใหม่เมื่อเป็นวังหน้า)  แล้วลงเรือโกลนพายต่อมา พอแลเห็นเรือพม่าแจวสวนทางมาก็ล่มเรือลงคว่ำเอาครอบหัวไว้ เอามือพยุงเรือให้ลอย ค่อยว่ายกกระดิกน้ำไป เอาผักตบชวามาคลุมเรือไว้เพื่อพรางตาพม่าพอผ่านพ้นมาได้ 

     เมื่อถึงเมืองสมุทรสาคร ก็ขึ้นนอนพักเอาแรงตามบ้านร้าง คนไทยตอนน้ันหนีพม่าเข้าป่าไปหมดแล้ว นายสุดจินดาและคณะเดินทางไปตามคลองสุนัขหอน ฝนตกฟ้าผ่าเรือทะลุ ฆ้องกระแตจมน้ำหายไป ต่อมาก็มีพวกปล้นยกพวกเข้ามาปล้นเรือ จึงส่งเสียงเป็นภาษาพม่า พวกปล้นตกใจหนึไป ทิ้งดาบไว้ให้เล่มหนึ่ง จึงใช้เป็นอาวุธคู่มือต่อมา เดินทางไปจนถึงบางช้าง เพื่อหาหลวงอร่ามเรืองฤทธิ์ผู้พี่ชาย หลวงอร่ามเรืองฤทธิ์(ทองด้วง)  พี่ชายจึงแนะนำว่า "อย่าอยู่ที่นี่เลย  เพราะเป็นทางเดินทัพของพม่า ไม่ปลอดภัย ขณะนี้พี่ได้ทราบว่าพระยาตากสินไปตั้งตัวเป็นใหญ่อยู่ที่เมืองชลบุรี  ฝั่งตะวันออก  กองทัพพม่าไปไม่ถึง เป็นที่ปลอดภัยกว่า ในยามแผ่นดินว่างกษัตริย์เช่นนี้คนที่จะเป็นใหญ่ในแผ่นดินต่อไปนั้น เห็นจะไม่พ้นฝืมือพระยาตากไปได้  เจ้าก็เป็นคนคุ้นเคยกันอยู่ จงอุตส่าห์ไปพึ่งใบบุญเขาเถิด แต่ก่อนจะไป จงอุตส่าห์สืบค้นหามารดาพระยาตากที่ตกค้างอยู่บ้านแหลมเมืองเพชรบุรีแล้วพาตัวไปให้แม่ลูกเขาได้พบกัน พระยาตากก็จะยินดีเป็นล้นพ้น  เจ้าจะได้พึ่งเขาต่อไปในภายหน้า "
     นายสุดจินดาผู้น้องชายก็ตอบว่า ยังไปไม่ได้  ขัดข้องที่เรือใหญ่พอจะข้ามทะเลได้ไม่มี หลวงอร่ามเรืองฤทธิ์ ก็ว่า

"เรือสำปั้นยาวสี่วาที่มีอยู่ จมน้ำไว้ในคูข้างบ้าน ให้ไปกู้ขึ้นมาพอจะข้ามทะเลได้"   นายสุดจินดา(บุญมา)  กับเพื่อนจึงไปกู้เรือขึ้นมาพร้อมเดินทางไปบ้านแหลม เมืองเพชรบุรี  หลวงอร่ามเรืองฤทธิ์(ทองด้วง)  จึงได้มอบเสื้อผ้าและเสบียงอาหารสำหรับเดินทางให้  แล้วไปหยิบเอาดาบคร่ำทองโบราณมาเล่มหนึ่งกับแหวนสองวง เป็นแหวนพลอยบุศราคำน้ำทอง และ แหวนทับทิม ทรงรังแตน  มามอบให้น้องชายแล้วกล่าวว่า "แหวนนี้เป็นของเมียพี่  ดาบนี้เป็นของปู่ที่รับสืบตระกูลมา  พี่ขอฝากไปให้พระยาตากสินด้วย  ว่าพี่ฝากมาเป็นเครื่องระลึกถึงกันในยามยากแค้นแสนกันดาร" นายสุดจินดา(บุญมา)  ก็ว่าอยากให้พี่ไปด้วย  แต่หลวงอร่ามเรืองฤทธิ์(ทองด้วง)  ตอบว่า พี่ยังไปไม่ได้ขณะนี้  เพราะพี่สะใภ้ของเจ้าก็ตั้งท้องอีหลักอีเหลื่ออยู่  พี่แก้วก็ต้ังท้องจวนคลอดเหมือนกัน  เมื่อพี่สาวและพี่สะใภ้เจ้าคลอดลูกแล้วจึงจะไปได้  ขอให้เจ้าเดินทางล่วงหน้าไปก่อน  เมื่อสบโอกาสแล้วก็ขอให้ออกมารับพี่ไปอยู่ด้วยภายหลัง 

   
(โปรดติดตามตอนต่อไป) 
     


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น