พระราชพงศาวดารจดไว้ว่า เมื่อพระเจ้าตากสินมหาราชทรงตั้งกรุงธนบุรีขึ้นแล้ว พม่ายังไม่สิ้นความพยายามที่จะตีเอาไทยเป็นเมืองขึ้นให้จงได้ จึงเตรียมส่งกองทัพเข้าตีเมืองไทยใหม่ ได้ส่งกองทัพเข้ามาตั้งค่ายหาเสบียงอาหารที่เมืองกาญจนบุรี แล้วส่งกองกำลังเข้ามาตระเวนปล้นหาเสบียงอาหารอยู่แถวเมืองราชบุรี ยกกำลังเข้ามาจนถึงค่ายจีนบางกุ้ง เมืองสมุทรสงคราม เข้าล้อมค่ายจีนบางกุ้งไว้ ทหารจีนต่อสู้จนเสบียงอาหารหมด ค่ายจวนจะแตกอยู่แล้ว กรมการเมืองสมุทรสงครามจึงมีใบบอกไปทางกรุงธนบุรี กรมการเมืองในที่นี้พงศาวดารไม่ได้บอกว่าเป็นใคร ไม่ได้บอกว่าเป็นผู้ว่าราชการเมือง เพราะขณะนั้นเจ้าเมืองสมุทรสงครามไม่มีตัว ทางสมุทรสงครามมีแต่หลวงปลัดเมือง คือ หลวงชลสินธุสงคราม (ศร ต้นตระกูล ณ บางช้าง) กับหลวงอร่ามเรืองฤทธิ์(ทองด้วง) ยกกระบัตรเมืองเป็นกรมการเมืองอยู่ ทั้งสองท่านนี้เกี่ยวดองเป็นวงศ์ญาติกันทางภรรยา กรมการเมืองที่มีใบบอกไปทางกรุงธนบุรีคงจะเป็นสองท่านคู่เขยนี่เอง หาใช่ใครอื่นไม่ พระเจ้าตากสินได้ทรงทราบข่าวศึก "ก็ทรงดีพระทัยดังได้ลาภทั้่งปวง" พงศาวดารว่าไว้อย่างนี้ เพราะขณะน้ันคนไทยไม่มีขวัญ กลัวพม่าเหมือนยักษ์กลัวมารก็ปานกัน ถึงแก่มีคำขู่เด็กขี้อ้อนร้องไห้โยเยว่า "แน่ะ พม่ามาแล้ว" เหมือนที่ขู่เด็กในเวลาต่อมาว่า "เดี๋ยวตำรวจจับ" หรือเหมือนลาวโข่งทางเหนือเวียงจันทร์ขู่ลูกหลานว่า "บักโกย มาแล้ว" (บักโกย นี้คือทหารไทยหรือคนไทยที่ไปรบแล้วกวาดต้อนเอาลาวโข่งมาทางแถว นครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี หลายหมื่นคน คนลาวโข่งก็ขยาดทหารไทยเหมือนคนไทยกลัวพม่า) ฉนั้นเมื่อพระเจ้าตากสินได้ข่าวศึกพม่ามาตีค่ายบางกุ้ง จึงทรงดีพระทัยเหมือนได้แก้ว เพราะทรงมีความปรารถนาที่จะตีพม่าให้ราบเรียบ เพื่อปลุกใจคนไทยว่าไม่ต้องกลัวพม่า พม่าไม่ใช่ยักษ์มารที่ไหน เพราะฉนั้นจึงทรงจัดกองทัพเรือขึ้น ๒๐ ลำ มีพล ๒๐๐๐ คน ให้ยกทัพออกจากกรุงธนบุรีแต่ในเวลากลางคืน รุ่งเช้าก็ถึงค่ายบางกุ้ง มีพระมหามนตรีเป็นกองทัพหน้า ทรงคุมทัพมาข้างหลัง แล้วสั่งให้ทหารไทยเข้าล้อมโจรตีทันทีแต่เช้ามืด ทหารไทยไล่ฆ่าฟันทหารพม่าล้มตายในน้ำบนบกเป็นอันมาก ที่หนีไปได้ไม่ถึง ๕๐๐ คน นอกนั้นตายลอยน้ำและตายอยู่บนบกที่ค่ายบางกุ้งเกือบ ๑๕๐๐ คน การศึกคร้ังนี้ก็เลื่องลือไปว่าทหารไทยฆ่าฟันทหารพม่าตายจนเหม็นคุ้งน้ำ ทำให้ขวัญของคนไทยดีขึ้นและพม่าก็เริ่มขยาดฝืมือทหารไทยตั้งแต่น้ันมา
ควรสังเกตุว่าการศึกครั้งน้ันทรงมอบหมายให้พระมหามนตรี(บุญมา) เป็นนายทัพหน้า แน่นอนที่สุดคงจะมีหลวงอร่ามเรืองฤทธิ์ (ทองด้วง) ผู้พีชายช่วยหนุนทางเสบียงอาหารอยู่ด้วย เพราะหลวงอร่ามเรืองฤทธิ์ (ทองด้วง) ไม่ได้หนีไปไหน และไม่ได้หนีทัพมาจากไหน คงเป็นหลวงอร่ามเรืองฤทธิ์ (ทองด้วง) ยกกระบัตรเมืองสมุทรสงครามอยู่ เท่ากับต้ังก๊กเล็กอยู่ที่เมืองสมุทรสงครามพร้อมด้วยหลวงชลสินธุสงคราม (ศร ณ บางช้าง) .ปลัดเมืองซึ่งเป็นคู่เขยกัน และวงศ์ญาติของภรรยาก็อุ่นหนาฝาคั่งเป็นตระกูลใหญ่มีญาติมากอยู่ในเมืองนี้ เมื่อพระพุทธยอดฟ้าได้เป็นพระมหากษัตริย์แล้วนั้น บรรดาวงศ์ญาติที่เมืองนี้ก็กลายเป็นวงศ์ราชินิกุลบางช้างขึ้นมา เท่าที่ลองสำรวจเจ้าเมืองในภาคพื้นนี้ มักเป็นคนในตระกูลบางช้างทั้งสิ้น คนในวงศ์ญาติราชินิกุลบางช้างออกไปเป็นเจ้าเมืองกันมาก เมืองราชบุรีก็เป็นของพวกวงศาโรจน์ เมืองกาญจนบุรีก็คนในวงศ์นี้ เมืองเพชรบุรีก็คนในตระกูลบุนนาค เมืองสุพรรณบุรีก็เหมือนกัน เมืองนครปฐมก็คนในวงตระกูลนี้ที่แยกวงศ์ออกไป พระยาสุนทรบุรีศรีพิไชยสงคราม (ต้นตระกูล สุนทรศารทูล) ก็ไปเป็นเจ้าเมืองนครปฐมหลายชั่วหลายคน หลายคนก็แยกไปจากตระกูล ณ บางช้างนี่เอง เมืองสมุทรสาครก็คนในวงศ์นี้เหมือนกัน คนในวงศ์นี้ออกไปกินเมืองถึงเมืองถลางก็มี
ที่นำเรื่องนี้มากล่าวไว้ก็เพื่อจะยืนยันว่า พระพุทธยอดฟ้ามหาราชทรงเป็นหลวงอร่ามเรืองฤทธิ์ยกกระบัตรเมืองสมุทรสงคราม ไม่เคยเป็นหลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรีเลย เป็นกรมการเมืองคนที่ ๓ รองจากพระแม่กลองบุรี และหลวงชลสินธุสงคราม
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น