พงศาวดารกล่าวว่าเมื่อเสร็จศึกค่ายบางกุ้งแล้ว พระมหามนตรี (บุญมา) จึงขอพระบรมราชานุญาตออกไปรับหลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรี เข้ามารับราชการอยู่ในกรุงธนบุรี พระเจ้าตากสินก็ทรงแต่งตั้งให้เป็นพระราชวรินทร์ เจ้ากรมพระตำรวจนอกซ้าย ขณนั้นพระมหามนตรี (บุญมา) ผู้น้องชาย เป็นเจ้ากรมพระตำรวจสนมขวาอยู่ เราจะต้องทราบด้วยว่า ผู้จดพงศาวดารในรัชกาลนี้ ไม่ใช่ใครที่ไหน คือพระวันรัตน์(ทองอยู่) วัดบางหว้าใหญ่นั่นเอง พระวันรัตน์(ทองอยู่) ผู้นี้เป็นที่เคารพนับถือของพระเจ้าตากสินมหาราช เพราะพระเจ้าตากสินมหาราชทรงเรียนพระกรรมฐานกับพระวันรัตน์(ทองอยู่) พระพุทธยอดฟ้ามหาราชก็ทรงนับถือพระวันรัตน์ (ทองอยู่) นี้เช่นกัน ในสมัยที่พระองค์เป็นแม่ทัพใหญ่อยู่ที่กรุงธนบุรี ตั้งบ้านเรือนอยู่ข้างวัดบางหว้าใหญ่ ก็ทรงนำพระพุทธเลิศหล้านภาลัยฝากให้เรียนหนังสือและศิลปวิทยากับพระวันรัตน์(ทองอยู่) พระวันรัตน์(ทองอยู่) ดูดวงชะตาพระพุทธเลิศหล้านภาลัยแล้วก็กล่าวว่า "ลูกคนนี้มีบุญจะได้พึ่งต่อไปในวันหน้า " เจ้าพระยาจักรี(ทองด้วง) จีงกล่าวว่า "ถ้ามีบุญก็ขอยกให้เป็นลูกเจ้าคุณเสียด้วย"
ต่อมาพระวันรัตน์(ทองอยู่) ได้สึกออกมา แต่พระพุทธยอดฟ้ามหาราชทรงเห็นว่าท่านมีความรู้ดีในพระไตรปิฎก จึงทรงแต่งต้ังให้เป็นหลวงอนุชิตพิทักษ์ รับราชการอยู่ในกรมมหาดไทย ภายหลังได้เลื่อนขึ้นเป็นพระยาพจนาพิมณฑ์ในรัชกาลที่ ๑ รับราชการอยู่ในกรมพระอาลักษณ์ จึงเป็นผู้จดพงศาวดารในสมัยรัชกาลที่ ๑ พระยาพจนาพิมณฑ์นี้ได้แต่งงาน มีธิดาคนหนึ่งเมื่อโตเป็นสาว ได้ถวายธิดาคนนี้แก่พระพุทธเลิศหล้านภาลัยให้เป็นพระสนม แต่พระพุทธเลิศหล้านภาลัยตรัสว่า "ลูกสาวของพระอาจารย์จะรับไว้เป็นเมียหาสมควรไม่ แต่ไม่รับไว้เขาก็จะะเสียน้ำใจ แต่จะรับไว้เป็นลูกสะใภ้ได้อยู่ดอก" จึงทรงรับไว้ในพระราชวังแล้วพระราชทานพระสนมพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งขณะน้ันเป็นพระเจ้าลูกยาเธอองค์ใหญ่ ดำรงยศเป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ธิดาของพระยาพจนาพิมณฑ์ (ทองอยู่) คนนี้ ชื่อว่า เอม มีบุตรกับพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวองค์หนึ่ง ชื่อว่า พระองค์เจ้าชายชุมแสง ต่อมาเป็นกรมขุนราชสีห์วิกรม เป็นต้นสกุล ชุมสาย ณ อยุธยา ในปัจจุบัน
ที่นำเรื่องพระยาพจนาพิมณฑ์ (ทองอยู่) มาเล่าประกอบเรื่องนี้ไว้ เพื่อจะบอกว่าผู้จดพระราชพงศาวดารในรัชกาลที่ ๑ น้ัน ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือพระยาพจนาพิมณฑ์ (ทองอยู่) คนนี้เอง ท่านนั่งจดอยู่ที่กรงเทพฯ ไม่เคยมาเมืองสมุทรสงคราม ท่านจึงเข้าใจคลาดเคลื่อนว่า หลวงอร่ามเรืองฤทธิ์(ทองด้วง)นั้น เป็นหลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรี เพราะมักเข้าใจกันว่า "แขวงบางช้างเมืองราชบุรี" คืออำเภอบางช้าง สมัยน้ันขึ้นแก่เมืองราชบุรี แต่แท้ที่จริง แขวงบางช้าง ขึ้นกับเมืองสมุทรสงคราม และเมืองสมุทรสงครามขึ้นแก่เมืองราชบุรี บางทีท่านอาจจะเห็นว่า เมืองราชบุรีเป็นเมืองใหญ่ สมควรแก่เกียรติยศของหลวงยกกระบัตร(ทองด้วง) มากกว่าเมืองสมุทรสงคราม ซึ่งเป็นเมืองเล็ก ท่านอาจจะไม่ได้เฉลียวใจว่า เมืองสมุทรสงครามน้ันเป็นบ้านเมืองกำเนิดของสมเด็จพระอมรินทรามาตย์(นาค) เป็นเมืองกำเนิดของพระศรีสุริเยนทรามาตย์(เจ้าหญิงบุญรอด) และเป็นเมืองพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อประสูติสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์(บุญรอด) น้ัน สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ (แก้ว) พระพี่นางของพระพุทธยอดฟ้ามหาราช ก็อพยพหลบหนีภัยพม่าไปอาศัยอยู่กับพระพุทธยอดฟ้ามหาราชที่เมืองสมุทรสงคราม และได้ให้กำเนิดสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์(เจ้าฟ้าหญิงบุญรอด) เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน พ.ศ.๒๓๐๙ ถ้าพระพุทธยอดฟ้ามหาราชเป็นหลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรี หนีพม่ามาอยู่เมืองสมุทรสงครามแล้ว พี่สาวของท่านจะไปอาศัยอยู่ด้วยได้อย่างไรเล่า ต่อมาวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๓๑๐(ซึ่งถ้านับเดือนมกราคมเป็นปีใหม่อย่างในปัจจุบัน ก็จะเป็นปีพ.ศ.๒๓๑๑) คืออีก ๕ เดือนต่อมา สมเด็จพระอมรินทรามาตย์ (นาค)ก็ประสูติพระพุทธเลิศหล้านภาลัยที่เมืองสมุทรสงครามนั่นเอง แสดงว่าพระพุทธยอดฟ้าฯท่านอยู่อย่างหลวงยกกระบัตรสมุทรสงคราม มีผู้คนบ่าวไพร่แวดล้อม เมื่อน้องชายของท่าน คือ นายสุดจินดา(บุญมา) หนีทัพพม่าออกจากกรุงศรีอยุธยา ก็มุ่งหน้าไปหาพี่ชายที่เมืองสมุทรสงคราม ไม่ได้ไปเมืองราชบุรี เพราะเมืองราชบุรีเป็นเมืองหน้าด่าน พม่าเดินทางเข้ามาทางนั้นจะเดินทางไปหาพี่ชายได้อย่างไร มีภัยอันตรายยิ่งกว่ากรงุศรีอยุธยาเสียอีก แต่หนึไปหาพี่ชายที่เมืองสมุทรสงคราม หวังจะหลบภัยพม่าอยู่กับพี่ชายที่เมืองสมุทรสงคราม แต่พระพุทธยอดฟ้าฯ ท่านคอยสืบข่าวศึกอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับตั้งก๊กเล็กๆอยู่ที่เมืองนั้น ท่านจึงทราบว่าพระเจ้าตากสินมหาราชไปตั้งตัวเป็นใหญ่อยู่ทางเมืองชลบุรี ท่านจึงแนะนำน้องชายให้เดินทางไปพึ่งใบบุญพระเจ้าตากสินมหาราชอยู่ที่นั่น ทั้งคาดการณ์ล่วงหน้าถูกต้องว่าในยามแผ่นดินว่างกษัตริย์เช่นนี้ คนที่จะได้เป็นใหญ่ในบ้านเมืองไม่พ้นพระเจ้าตากสินมหาราชแน่นอน ท่านจึงแนะนำน้องชายให้ไปสืบหามารดาพระเจ้าตากสินมหาราช ที่ตกค้างอยู่ที่อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี ท่านบอกว่า "เมื่อแม่ลูกเขาได้พบกัน เขาก็จะดีใจอย่างล้นพ้น เจ้าก็จะได้พึ่งใบบุญเขาต่อไป"
การที่ท่านทราบว่ามารดาพระเจ้าตากสินมหาราชตกค้างอยู่ที่เมืองเพชรบุรีน้ัน ย่อมแสดงว่าท่านอยู่อย่างมีบริวารมีหูมีตากว้างไกล รู้ข่าวศึก รู้ว่าพระเจ้าตากสินมหาราชไปตั้งตัวเป็นใหญ่อยู่ทางเมืองชลบุรี รู้ล่วงหน้าถึงเหตุการณ์ในอนาคตด้วยว่า พระเจ้าตากสินมหาราชจะได้เป็นใหญ่ในบ้านเมือง ถึงแก่ฝากของบรรณาการไปผูกพันทางพระไมตรีไว้ คือแหวนสองวงและดาบคร่ำทองโบราณของปู่ท่าน ท่านยังสละให้ไป แล้วก็นัดหมายกับน้องชายว่า เมื่อได้ช่องได้โอกาสให้ออกมารับพี่ชายพี่สาวไปอยู่ด้วย นี่แสดงอยู่อย่างชัดเจนว่า ท่านอยู่ที่เมืองสมุทรสงครามอย่างหลวงอร่ามเรืองฤทธิ์ ที่มีตำแหน่ง มีบริวารข้าทาสไพร่พลอยู่ในเมืองนี้ ไม่ใช่มาอยู่อย่างหนีทัพพม่ามาแต่เมืองราชบุรีแต่อย่างใด ตอนเข้าไปถวายตัวเข้ารับราชการ ก็ต้องมีน้องชายขอพระบรมราชานุญาตยกขบวนออกมารับเข้าไปอย่างมีศักดิ์ศรี เมื่อเข้าถวายตัวก็ได้รับแต่งตั้งเป็นพระราชวรินทร์ ตำแหน่งเจ้ากรมพระตำรวจนอกซ้ายในทันที ยังไม่ทันได้ออกรบราข้าศึกแต่สักครั้ง แสดงว่าท่านเป็นคนสำคัญอยู่ในสายพระเนตรของพระเจ้าตากสินมหาราช ความรู้จักคุ้นเคยมาแต่ก่อนครั้งบวชอยู่ด้วยกันที่กรุงศรีอยุธยาอย่างหนึ่ง ดาบคร่ำทองโบราณและแหวนที่ฝากไปถวายด้วยความจงรักภักดีอย่างหนึ่ง กับความสำคัญที่เข้าไปถวายตัวด้วยมีไพร่พลติดตามไปด้วยเช่นนี้ พระเจ้าตากสินมหาราชย่อมจะเห็นความสำคัญของพระพุทธยอดฟ้าฯ จึงทรงแต่งต้ังให้เป็นเจ้ากรมพระตำรวจนอกซ้ายทันที ถ้าเปรียบเทียบกันคนอื่นที่หนึทัพเข้าไปถวายตัวอย่างอนาถาเช่น หลวงนายสิทธิ์(หมุด) ก็เพียงได้เป็นนายทหารในยศศักดิ์เดิมก่อน เมื่อได้ทำความชอบแล้วจึงได้เลื่อนหน้าที่ขึ้น แต่ก็ได้เป็นเพียงพระยาอนุราชบุรี ผู้รั้งตำแหน่งเจ้าเมืองชลบุรี เรียกว่าได้รับราชการอยู่ห่างๆ ไม่ได้ไว้วางพระทัยใกล้ชิดให้เป็นเจ้ากรมพระตำรวจนอกตำรวจในเหมือนพี่น้องคู่นี้เลย
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น