พระพุทธยอดฟ้ามหาราชนั้นทรงเป็นพระมหาวีรบุรุษอย่างไม่มีที่กังขา เมื่อทรงรับราชการอยู่กับพระเจ้าตากสินมหาราช ได้เป็นแม่ทัพออกรบถึง ๑๑ ครั้ง รบชนะมีความดีความชอบก็ได้ทรงเลื่อนยศถาบรรดาศักดิ์อย่างรวดเร็วมาตลอด
เป็นพระราชวรินทร์ เจ้ากรมพระตำรวจนอกขวา เมื่อพระชนมายุ ๓๒ ปี(พ.ศ.๒๓๑๑)
เป็นพระยาอภัยรณฤทธิ์ จางวางพระตำรวจซ้าย เมื่อพระชนมายุ ๓๓ ปี (พ.ศ. ๒๓๑๒)
เป็นเจ้าพระยายมราช เสนาบดีกรมนครบาล เมื่อพระชนมายุ ๓๔ ปี(พ.ศ.๒๓๑๓)
เป็นเจ้าพระยาจักรีอรรถมหาเสนาบดี ที่สมุหนายก เมื่อพระชนมายุ ๓๕ ปี(พ.ศ.๒๓๑๔)
เมื่อครั้งศึกอะแซหวุ่นกี้ พระเจ้าตากสินมหาราชโปรดพระราชทานยศให้เป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก พิลึกมหึมาทุกนคราระอาเดช นเรศวรราชสุริยวงศ์ องค์วัตรบาทมุสิกากรบวรรัตนนายก เมื่อ เดือน๖ ปีระกา จ.ศ.๑๑๓๙ พระชนมายุ ๔๑ ปี (พ.ศ.๒๓๒๐)
เสด็จปราดาภิเษกขึ้นครองราชย์เป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีเมื่อวันที่ ๖ เมษายน พ.ศ.๒๓๒๕ พระชนมายุ ๔๖ ปี ครองราชย์สมบัติอยู่ ๒๗ ปี
เมื่อเป็นพระมหากษัตริย์ ทรงทำสงครามป้องกันรักษาอิสรภาพกับพม่าอีกถึง ๘ ครั้ง ขับไล่พม่าออกไปจากแผ่นดินสยาม และตามเข้าไปตีพม่าถึงเมืองพม่าถึง ๒ ครั้ง จนพม่าเข็ดขามไม่มารบกวนอีกเลย สงครามครั้งสำคัญ คือสงคราม ๙ ทัพ ซึ่งพระเจ้าปดุง กษัตริย์พม่า ทรงยกทัพเข้ามาตีไทยตั้งแต่เหนือจดใต้รวม ๙ ทัพ กองทัพไทยก็ตีกองทัพพม่าแตกพ่ายไปทุกทัพ
พระพุทธยอดฟ้ามหาราชทรงรวบรวมบ้านเมืองไทยเป็นปึกแผ่นกว้างขวางยิ่งกว่าครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ได้แผ่ขยายอาณาเขตมีประเทศราชมาขอพึ่งพระบรมโพธิสมภารมากมาย ทำให้ราชอาณาจักรไทยมีดินแดนกว้างใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เป็นประเทศมา ทิศเหนือเมื่อเป็นพระมหากษัตริย์แล้ว ได้เมืองเชียงใหม่, ทิศตะวันออกเฉียงใต้ได้เมืองหลวงพระบาง,เวียงจันทร์, ลานช้าง, ทิศตะวันออกได้เมืองพระตะบอง เสียมราฐ นครจำปาศักดิ์ ศรีโสภณ, ทิศใต้ได้เมืองปะริด กะลันตัน ตรังกานู ไทรบุรี, ทิศตะวันตกได้เมืองทะวาย ตะนาวศรี บ้านเมืองไทยสมัยพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกกว้างใหญ่ไพศาล ประเทศเพื่อนบ้าน ลาว ญวน เขมร พม่า มลายู เกรงกลัวทั่วไป
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น